ในขณะที่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น Lumentum บริษัทเทคโนโลยีโฟโตนิกส์ชั้นนำของโลกและหนึ่งในหุ้นที่เติบโตเร็วที่สุดใน NASDAQ กำลังเข้ามาเปลี่ยนสมการเดิมด้วยการประกาศขยายการลงทุนในประเทศไทยครั้งประวัติศาสตร์ ยกระดับโรงงานไทยสู่ Global Flagship Factory เพื่อรองรับความต้องการชิ้นส่วนโฟโตนิกส์สำหรับ AI, Cloud และระบบสื่อสารความเร็วสูงทั่วโลก
Mr. Michael Hurlston (นาย ไมเคิล เออริสตัน) President & CEO ของ Lumentum กล่าวว่า “ประเทศไทยไม่ใช่แค่ฐานการผลิตต้นทุนต่ำ แต่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของแรงงานฝีมือระดับโลกที่สั่งสมจากอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์และอิเล็กทรอนิกส์ การลงทุนรอบนี้คือการสร้างฐานรากใหม่ที่จะทำให้ไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางโฟโตนิกส์แห่งเอเชีย และเป็น S-Curve สำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลในทศวรรษหน้า”

การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์: เพิ่มกำลังผลิต 4 เท่า ดันรายได้เฉพาะในไทยแตะ 4 พันล้านดอลลาร์
Lumentum วางแผน เพิ่มกำลังการผลิต (Output) 4 เท่า จากโรงงานในไทยภายใน 2 ปี เพื่อป้อนตลาด AI และศูนย์ข้อมูลที่กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด ปัจจุบันบริษัทได้ขยายการจ้างงานจาก 3,000 คนเป็นกว่า 6,000 คนภายในเวลาเพียง 9 เดือน และอาจเพิ่มสูงถึง 11,000 คน ในอนาคตอันใกล้
“ทุกตำแหน่งงานที่เราจ้างสามารถสร้างงานต่อเนื่องในห่วงโซ่อุปทานได้อีก 5 ตำแหน่ง” Mr. Kok Wai Hoo (นายก๊ก เว่ย ฮู) Senior Vice President, Global Factory เปิดเผยว่า การเติบโตของ Lumentum เพียงรายเดียวสามารถจุดประกายและกระตุ้นการจ้างงานรวม 30,000 ตำแหน่งในระบบเศรษฐกิจไทย”
ขณะเดียวกัน ภายในปี 2028–2029 มูลค่าการผลิตชิ้นส่วนโฟโตนิกส์จากไทยจะสูงถึง 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อรวมกับซัพพลายเออร์และการลงทุนในห่วงโซ่อุตสาหกรรม จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไทย รวมราว 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

Photonics Ecosystem ไทย จุดแตกต่างจากอิเล็กทรอนิกส์ยุคเดิม
สิ่งที่ทำให้การลงทุนของ Lumentum แตกต่างจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในอดีต คือ การนำทั้งระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือ Ecosystem เข้ามาลงทุนในไทย ปัจจุบันมี ซัพพลายเออร์ทั้งกลุ่มต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำของโฟโตนิกส์ ตัดสินใจตั้งโรงงานในประเทศไทยแล้ว ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมโยงของโซ่อุปทานและลดการพึ่งพาการนำเข้า ที่สำคัญ ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SME ไทย เข้าสู่ตลาดผลิตชิ้นส่วนความแม่นยำสูง เช่น ชิ้นส่วนโลหะ แผ่น PCBA และอุปกรณ์ออปติก ซึ่งเดิมถูกผูกขาดโดยผู้ผลิตต่างชาติ
Mr. Michael Hurlston (นาย ไมเคิล เออริสตัน) President & CEO ของ Lumentum กล่าวเสริมอีกว่า การสนับสนุนจากนโยบายส่งเสริมการลงทุนของ BOI และการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมใน EEC ทำให้นักลงทุนต่างชาติมองว่าประเทศไทยเป็น “Hub of Precision and Photonics” ที่พร้อมรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

โครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ จาก “Made in Thailand” สู่ “Designed in Thailand”
Lumentum ไม่เพียงสร้างงานผลิต แต่ยังปักธงชัดว่าจะ ขยับไทยจากฐานการผลิตไปสู่ศูนย์กลางนวัตกรรม (Innovation Hub) ผ่านการจัดตั้ง ศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) และ Lumentum Photonics Lab ภายในประเทศ เพื่อต่อยอดจากทักษะแรงงานไปสู่ ทุนมนุษย์ (Human Capital) ที่สามารถออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้เอง โดยพัฒนาความร่วมมือกับกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศไทย เพื่อพัฒนาหลักสูตรเฉพาะทางด้านโฟโตนิกส์และเลเซอร์ ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานโลก
“เรากำลังสร้างรากฐานเพื่อให้ไทยไม่เพียงผลิต แต่ยังออกแบบและคิดค้นได้เอง การมี R&D และ Lab ในไทยคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนจาก ‘ผู้ผลิต’ เป็น ‘ผู้สร้างนวัตกรรม’” ดร. ปรอง กองทรัพย์โต ผู้อำนวยการอาวุโส และ Chief of Staff & External Affairs

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยและ S-Curve ใหม่
อุตสาหกรรมโฟโตนิกส์ถูกมองว่าเป็น S-Curve ต่อไปของไทย ต่อจากยานยนต์และปิโตรเคมี สาเหตุสำคัญคือ
- Demand พุ่งสูงจาก AI และ Cloud การเติบโตของ Data Center การประมวลผล AI และ 5G ทำให้ความต้องการอุปกรณ์รับส่งสัญญาณแสงพุ่งขึ้นต่อเนื่อง
- Value Chain สูง โฟโตนิกส์มีมูลค่าเพิ่มต่อหน่วยสูงกว่าการประกอบอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป สร้างมูลค่าเศรษฐกิจต่อคนทำงานมากกว่าเดิมหลายเท่า
- เชื่อมกับอุตสาหกรรมใหม่ อุปกรณ์โฟโตนิกส์เป็นหัวใจใน Semiconductor รถยนต์ EV พลังงานอัจฉริยะ และเทคโนโลยีการป้องกัน (Defense Tech)
ดร. ปรอง มองว่า หากไทยสามารถสร้างฐานบุคลากรและ R&D ได้ทันเวลา ไทยจะกลายเป็น “Tier-1 Manufacturing & Innovation Hub” ในตลาด Photonics มูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า ซึ่งเป็นจังหวะสำคัญในการฟื้นอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยที่กำลังชะลอตัว
การเข้ามาของ Lumentum เป็นมากกว่าการลงทุนเดี่ยว แต่คือการวางรากฐานให้ไทย ยกระดับทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรม พร้อมสร้างงานและทักษะใหม่ ๆ ให้คนไทยจำนวนมหาศาล นำไปสู่เศรษฐกิจที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นและลดการพึ่งพาอุตสาหกรรมเดิมที่กำลังเข้าสู่ช่วงอิ่มตัว
