หากมองย้อนกลับไปเพียงทศวรรษเดียว “ธุรกิจสัตว์เลี้ยง” ยังเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มที่จำกัดอยู่ในบางประเทศ ทว่าปี 2025 ได้พิสูจน์แล้วว่าโลกเปลี่ยนไป ไม่ใช่เพียงแค่สัตว์เลี้ยงกลายเป็น “สมาชิกในครอบครัว” แต่ยังเป็นจุดศูนย์กลางของโอกาสทางเศรษฐกิจระดับโลก
ภูมิทัศน์อุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง: จากครัวโลกสู่คลัสเตอร์สัตว์เลี้ยง
กรุงเทพมหานคร ได้กลายเป็นเจ้าภาพของ งานแสดงสินค้าสัตว์เลี้ยงที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “Pet Fair South East Asia 2025” ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 4 ด้วยสถิติน่าจับตามอง
- ผู้เข้าชมกว่า 11,169 คน จาก 81 ประเทศ
- ผู้แสดงสินค้า 447 บริษัท จาก 37 ประเทศ
- ผู้ประกอบการต่างชาติคิดเป็นกว่า 75%
- กลุ่มเป้าหมายหลักคือ ผู้นำเข้า ผู้จัดจำหน่าย และเจ้าของแบรนด์
งานนี้ไม่ได้เป็นเพียงนิทรรศการ แต่คือเวที B2B ระดับโลก ที่ทำให้ประเทศไทยไม่เพียงเป็น “ผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง” รายใหญ่ที่สุดในอาเซียน แต่ยังเป็น “แพลตฟอร์มเชื่อมโยงโลก” สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

อุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงโลกโตไม่หยุด — ยุคทองของเอเชียเริ่มต้นที่นี่
จากข้อมูลของ Statista ตลาดสัตว์เลี้ยงทั่วโลกมีมูลค่าเกือบ 270 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2024 และคาดว่าจะทะลุ 350 พันล้านดอลลาร์ในปี 2030 ด้วยปัจจัยการเติบโตที่ประกอบด้วย:
- การเลี้ยงสัตว์แบบ “มนุษย์ศูนย์กลาง” (Humanization of pets)
- นวัตกรรมด้านอาหารและผลิตภัณฑ์เสริม
- ช่องทางอีคอมเมิร์ซและบริการ Subscription Box
- แนวโน้มรักสุขภาพที่ขยายไปถึงสัตว์เลี้ยง
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถูกจับตามองเป็นพิเศษ ด้วยสัดส่วนเจ้าของสัตว์เลี้ยงหน้าใหม่ที่สูงและประชากรกลุ่ม Millennial และ Gen Z ที่เพิ่มการใช้จ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยงอย่างต่อเนื่อง

กรุงเทพฯ: จากผู้ผลิตสู่ผู้นำเครือข่ายการค้า
ในปีนี้ ประเทศไทยแสดงศักยภาพในฐานะเจ้าภาพด้วยผู้แสดงสินค้าไทย 116 บริษัท คิดเป็น 25% ของผู้เข้าร่วมงานทั้งหมด โดยมีโซนพิเศษอย่าง Thai Pet Avenue และ ASEAN Pet Avenue ซึ่งเปิดพื้นที่ให้แบรนด์ไทยและสตาร์ตอัปภูมิภาคสร้างเครือข่ายการค้ากับผู้ซื้อจากทั่วโลก
ผู้เข้าร่วมงานจากต่างประเทศที่น่าจับตา ได้แก่:
- จีน (19.1%)
- อินเดีย (9.6%)
- มาเลเซีย (9.2%)
- สิงคโปร์ (7.6%)
- ไต้หวัน (7.2%)
- ตะวันออกกลางและอเมริกาใต้ที่เพิ่มขึ้นใหม่
แนวโน้มนี้สะท้อนถึง “ภูมิรัฐศาสตร์ทางเศรษฐกิจ” ใหม่ ที่ตลาดสัตว์เลี้ยงไม่จำกัดเพียงในโลกตะวันตกอีกต่อไป แต่กำลังย้ายจุดศูนย์ถ่วงมายังโลกตะวันออก

Pet Fair: ไม่ใช่แค่งานโชว์สินค้า แต่คือแพลตฟอร์มความรู้
หนึ่งในจุดเด่นของ Pet Fair SEA คือความเข้มข้นของโปรแกรมสัมมนาและการประชุม ไม่ว่าจะเป็น:
- กว่า 40 หัวข้อสัมมนา ครอบคลุมเทรนด์ นวัตกรรม พฤติกรรมผู้บริโภค และการตลาดดิจิทัล
- Petfood Forum Asia จาก WATT Global Media สหรัฐอเมริกา ที่มีผู้เข้าร่วมกว่า 100 ราย
- วิทยากรจากนานาชาติที่มีทั้งนักวิจัย นักการตลาด ผู้ผลิตอาหาร และแบรนด์ระดับโลก
องค์ประกอบนี้ทำให้งานมีความหมายเชิงยุทธศาสตร์ และกลายเป็น แพลตฟอร์มองค์ความรู้ ที่ส่งเสริม “ธุรกิจสัตว์เลี้ยงอย่างยั่งยืน”
12 พาวิลเลียนระดับโลก สะท้อนอิทธิพลการค้าแบบพหุภาคี
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของงานคือ พาวิลเลียนจาก 12 ประเทศที่เข้าร่วมอย่างเป็นทางการ อาทิ:
- แคนาดา (โดย Pets Canada)
- อิตาลี (โดย Zoomark International)
- เกาหลีใต้ (โดย Korea Agro-Fisheries & Food Trade Corporation)
- สเปน (โดย ICEX Spain)
- สหรัฐอเมริกา (โดย IMEX Management)
พาวิลเลียนเหล่านี้ไม่เพียงแสดงสินค้า แต่เป็นการสื่อสาร Soft Power ทางเศรษฐกิจ สะท้อนว่า “สัตว์เลี้ยง” คือสินค้าแห่งวัฒนธรรม ที่มีความหลากหลายเช่นเดียวกับแฟชั่นหรืออาหาร

อนาคตของเวทีการค้า: Pet Fair SEA 2026
จากกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม งาน Pet Fair SEA ได้ประกาศวันจัดงานปี 2026 แล้ว คือ 28-30 ตุลาคม 2569 ณ BITEC กรุงเทพฯ พร้อมเปิดจองพื้นที่ล่วงหน้าในอัตราพิเศษสำหรับผู้ร่วมแสดงปี 2568
บริษัทใหม่สามารถใช้สิทธิ Early Bird ตั้งแต่ 15 พฤศจิกายน 2568 ถึง กุมภาพันธ์ 2569 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการวางแผนเชิงกลยุทธ์ของผู้จัดงานที่จะสร้างความต่อเนื่องและยั่งยืนในระดับภูมิภาค
บทสรุป: เมื่อสัตว์เลี้ยงไม่ใช่แค่ “เพื่อน” แต่คือ “เศรษฐกิจ”
งาน Pet Fair South East Asia 2025 คือหลักฐานสำคัญว่าตลาดสัตว์เลี้ยงไม่ได้เป็นแค่ไลฟ์สไตล์ แต่เป็น “โครงสร้างเศรษฐกิจ” ที่มีนัยสำคัญระดับโลก ประเทศไทยจึงไม่ควรมองข้ามโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้แบบองค์รวม ตั้งแต่การผลิต การค้า การวิจัย ไปจนถึงการส่งออก Soft Power ผ่านสัตว์เลี้ยง
และที่สำคัญกว่านั้น — เราอาจได้เห็นยุคที่กรุงเทพฯ ไม่ใช่แค่ครัวของโลก แต่เป็น “คลัสเตอร์สัตว์เลี้ยงระดับโลก” อย่างเต็มภาคภูมิ
FAQs: กรุงเทพฯ ขึ้นแท่นศูนย์กลางธุรกิจสัตว์เลี้ยงโลก
Q1: งาน Pet Fair South East Asia 2025 คืออะไร?
A1: เป็นงานแสดงสินค้าสำหรับธุรกิจสัตว์เลี้ยงนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ เป็นปีที่ 4 โดยมุ่งเน้นการเชื่อมโยงธุรกิจแบบ B2B ในอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง
Q2: งานนี้จัดขึ้นเมื่อใดและที่ไหน?
A2: จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29–31 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) กรุงเทพฯ
Q3: มีผู้เข้าร่วมงานจากประเทศใดบ้าง?
A3: ผู้เข้าร่วมงานมาจาก 81 ประเทศทั่วโลก โดยประเทศที่มีผู้เข้าร่วมมากที่สุดได้แก่ จีน อินเดีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และไต้หวัน รวมถึงผู้เข้าร่วมจากตะวันออกกลางและอเมริกาใต้
Q4: จำนวนผู้เข้าชมงานและผู้แสดงสินค้ามีเท่าใด?
A4: มีผู้เข้าชมงานทั้งหมด 11,169 ราย และมีผู้แสดงสินค้ารวม 447 บริษัทจาก 37 ประเทศ โดย 75% เป็นผู้แสดงสินค้าต่างประเทศ
Q5: งานนี้มีประโยชน์ต่อธุรกิจสัตว์เลี้ยงอย่างไร?
A5: เป็นเวทีที่เปิดโอกาสในการเจรจาธุรกิจ จับคู่การค้า เสริมเครือข่ายทางธุรกิจ และแลกเปลี่ยนความรู้ในอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงระดับโลก
Q6: ประเทศใดบ้างที่มีพาวิลเลียนอย่างเป็นทางการในงานนี้?
A6: มีพาวิลเลียนจาก 12 ประเทศ อาทิ แคนาดา จีน อิตาลี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สเปน สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา
Q7: มีหัวข้อสัมมนาอะไรที่น่าสนใจภายในงานบ้าง?
A7: ภายในงานมีสัมมนากว่า 40 หัวข้อ ครอบคลุมเทรนด์ นวัตกรรม พฤติกรรมผู้บริโภค และการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยง
Q8: ประเทศไทยมีบทบาทอย่างไรในงานนี้?
A8: ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงาน และมีบริษัทไทยเข้าร่วมถึง 116 ราย พร้อมพื้นที่พิเศษ “Thai Pet Avenue” สำหรับส่งเสริมแบรนด์ไทยและสตาร์ตอัป
Q9: อุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงโลกกำลังเติบโตอย่างไร?
A9: ตลาดสัตว์เลี้ยงโลกมีมูลค่าเกือบ 270 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 และคาดว่าจะโตถึง 350 พันล้านในปี 2030 โดยมีเอเชียเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุด
Q10: จะมีงาน Pet Fair South East Asia จัดอีกครั้งเมื่อใด?
A10: มีกำหนดจัดอีกครั้งในวันที่ 28–30 ตุลาคม 2569 ที่ไบเทค กรุงเทพฯ โดยเปิดให้จองบูธล่วงหน้าแล้ว
