ในยุคที่ฟีเจอร์โซเชียลมีเดียเปลี่ยนรายสัปดาห์ นักประชาสัมพันธ์และการตลาดจำเป็นต้องเกาะกระแสแบบเรียลไทม์ ยิ่งในปี 2025 ที่แพลตฟอร์มต่างๆ อย่าง X (อดีต Twitter), Meta, Snapchat, YouTube และ Threads ต่างพัฒนาเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ “ความปลอดภัย-ความสร้างสรรค์-และประสบการณ์ผู้ใช้” ยิ่งทำให้การวางแผน PR ต้องอิงข้อมูลและ Insight อย่างรอบด้าน

โซเชียลมีเดียไม่หยุดนิ่ง แล้วกลยุทธ์ประชาสัมพันธ์ของคุณล่ะ?
จะขอพาคุณเจาะลึกอัปเดตสำคัญในวงการโซเชียล พร้อมแนะแนวทาง “ปรับ-รับ-รุก” เพื่อสร้างกลยุทธ์ประชาสัมพันธ์ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง
X: ข้อจำกัดใหม่ กระทบกลยุทธ์สร้าง Engagement
X ประกาศกฎใหม่กับนักโฆษณา: หากโพสต์โฆษณามากกว่า 1 emoji หรือใช้ครีเอทีฟซ้ำซ้อน อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงขึ้น เนื่องจากระบบจะ “ลดคะแนนคุณภาพ” ของคอนเทนต์นั้นโดยอัตโนมัติ
กลยุทธ์ PR แนะนำ:
- ใช้ข้อความให้สั้น กระชับ และเน้นคุณค่าจริงของเนื้อหา
- ลดการใช้สัญลักษณ์หรือ emoji เพื่อไม่ให้ระบบเข้าใจว่าเป็นคอนเทนต์ “Low quality”
- ครีเอทีฟควรเน้นสื่อสารสาระ ไม่ใช่เอฟเฟกต์หวือหวา
Age Verification: ความเปลี่ยนแปลงที่ PR ต้องใส่ใจ
X ยังปรับนโยบายยืนยันอายุผู้ใช้ โดยใช้ AI ตรวจสอบจาก ID จริง, email, หรือแม้กระทั่ง live selfie เพื่อป้องกันการเข้าถึงคอนเทนต์ที่ไม่เหมาะสม
Implication สำหรับนัก PR:
หากคอนเทนต์ของแบรนด์มีลักษณะ “เซนซิทีฟ” เช่น เรื่องสุขภาพ, ความสัมพันธ์, หรือภาพยนตร์ ควรตรวจสอบว่าคอนเทนต์นั้นจะไม่ถูกจำกัดการเข้าถึงจากระบบ AI ของแพลตฟอร์ม
Meta: หยุดโฆษณาการเมืองใน EU
Meta จะไม่อนุญาตให้มีโฆษณาการเมือง-สังคม-เลือกตั้งในประเทศสมาชิก EU เพื่อตอบสนองข้อกำหนดเรื่อง “ความโปร่งใส” ของการโฆษณา
สำหรับ PR และแบรนด์:
- หากทำแคมเปญที่เกี่ยวข้องกับ CSR หรือประเด็นทางสังคมในยุโรป ต้องคิดใหม่ ทำใหม่
- โฟกัสการสื่อสารแบบ non-paid (organic) ผ่าน influencer หรือ content marketing แทน
Snapchat: ฟีเจอร์ Home Safe เพิ่มความปลอดภัย
ฟีเจอร์ “Home Safe” เปิดให้ผู้ใช้กำหนด “บ้าน” และแชร์ว่าเดินทางกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว
กลยุทธ์ PR:
- แบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย, เด็ก, ผู้หญิง หรือบริการหลังเที่ยงคืน ควรใช้ฟีเจอร์นี้ในแคมเปญเพื่อสร้างภาพลักษณ์เชิงบวก
- ผูกฟีเจอร์เข้ากับกิจกรรม “ความห่วงใย” เพื่อเพิ่ม Emotional Value
YouTube: AI + Short Video = เครื่องมือทองของ PR
YouTube เพิ่มฟีเจอร์ “Photo to Video” ให้ผู้ใช้สร้างวิดีโอจากภาพนิ่ง พร้อม generative AI ที่เปลี่ยน doodle ให้กลายเป็นภาพ-เสียงแบบเต็มรูปแบบ
แรงกระเพื่อมในงาน PR:
- ปั้นเนื้อหาจากภาพเก่าขององค์กรให้กลายเป็นวิดีโอเล่าเรื่อง
- ใช้ AI เปลี่ยนภาพสเก็ตช์/วาดมือในงานออกแบบหรือเบื้องหลังให้กลายเป็นวิดีโอเพื่อสื่อสารเรื่องราว
- ทุกคอนเทนต์จาก AI จะมี “ลายน้ำ” เพื่อแสดงความโปร่งใส ป้องกันดราม่า Fake content
Threads: อินไซต์เชิงลึกเพิ่มศักยภาพกลยุทธ์
Threads เปิดตัวระบบ Analytics ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกทั้งเรื่อง Engagement, Demographic, Time to Post พร้อมเปิดให้ส่ง DMs, สติ๊กเกอร์, GIF และสร้างกรุ๊ปแชทได้
กลยุทธ์ PR แนววิเคราะห์:
- ติดตามช่วงเวลาที่ผู้ชมมี Engagement สูง เพื่อปรับโพสต์ให้ตรงจังหวะ
- วิเคราะห์คอนเทนต์ที่ “เข้าเป้า” และแตกต่างจากคอนเทนต์ทั่วไป
- ใช้ DMs เป็นเครื่องมือ CRM (การดูแลความสัมพันธ์กับลูกค้า) แบบ Soft touch
3 กลยุทธ์ “ปรับ-รับ-รุก” สำหรับนัก PR ยุค 2025
1. ปรับตัวตามข้อจำกัดแต่ไม่ลดความสร้างสรรค์
- ปรับภาษาการสื่อสารให้เรียบง่ายขึ้นในแพลตฟอร์มที่จำกัดครีเอทีฟ
- ทดลองใช้ media แบบใหม่ที่ไม่ขัดกับกฎ เช่น VDO สั้น, ไฟล์เสียง, หรือ carousel แบบเนื้อหาเชิงลึก
2. รับฟังเทคโนโลยี ไม่ใช่แค่ใช้
- เข้าใจระบบ AI, Age Verification, Algorithm Scoring เพื่อวางแผนโพสต์และเลือกช่องทางอย่างแม่นยำ
- วางแผนเนื้อหาล่วงหน้า 30-60 วัน โดยอิงจากปฏิทินแพลตฟอร์มและทิศทางของฟีเจอร์
3. รุกด้วย Insight + Empathy
- ใช้ข้อมูลจากฟีเจอร์ Analytics มาปรับเนื้อหาให้ตรงใจคนดู
- เชื่อมโยง Emotional Connection ผ่านการเล่าเรื่อง ที่ผู้ชม “รู้สึก” มากกว่าแค่ “เห็น”
สรุป: โลกเปลี่ยน ฟีเจอร์เปลี่ยน กลยุทธ์ PR ก็ต้องเปลี่ยน
นักประชาสัมพันธ์ไม่อาจยึดติดกับสูตรเดิมในยุคที่แพลตฟอร์มขยับทุกสัปดาห์ แต่โอกาสก็มีมากขึ้นสำหรับผู้ที่ “กล้าเรียนรู้ – กล้าทดลอง – และกล้าเล่าเรื่องอย่างมีจุดยืน”
เพราะในโลกดิจิทัล… ใครเข้าใจกฎของแพลตฟอร์ม คนนั้นมีพลังเหนือกว่า
FAQs: 3 กลยุทธ์ ปรับ-รับ-รุก สู้ฟีเจอร์โซเชียลมีเดียล่าสุด
Q1: ทำไมการเปลี่ยนแปลงฟีเจอร์ของแพลตฟอร์มโซเชียลจึงส่งผลต่อการทำประชาสัมพันธ์?
A1: เพราะการเปลี่ยนแปลงฟีเจอร์ เช่น การจำกัด emoji หรือการยืนยันอายุด้วย AI ส่งผลโดยตรงต่อการเข้าถึง ความน่าสนใจ และค่าใช้จ่ายของคอนเทนต์ ทำให้กลยุทธ์ PR ต้องปรับตัวให้เหมาะสมกับระบบของแต่ละแพลตฟอร์ม
Q2: ฟีเจอร์ใดของแพลตฟอร์ม X ที่ส่งผลต่อการออกแบบโฆษณา?
A2: การห้ามใช้มากกว่า 1 emoji และการลดคะแนนคุณภาพของคอนเทนต์ที่มีครีเอทีฟซ้ำซ้อน ส่งผลให้ค่าโฆษณาเพิ่มขึ้นและประสิทธิภาพลดลง
Q3: Age Verification บน X มีผลกระทบต่อแบรนด์อย่างไร?
A3: แบรนด์ต้องระมัดระวังเนื้อหาที่อาจถูกจัดว่า “เซนซิทีฟ” ซึ่งอาจถูกจำกัดการเข้าถึง เช่น เนื้อหาเกี่ยวกับสุขภาพ ความสัมพันธ์ หรือภาพยนตร์
Q4: Meta ห้ามโฆษณาอะไรใน EU?
A4: Meta ห้ามโฆษณาประเภทการเมือง การเลือกตั้ง และประเด็นสังคม เพื่อปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความโปร่งใสของสหภาพยุโรป
Q5: Home Safe ของ Snapchat เหมาะกับการใช้สื่อสารแบรนด์อย่างไร?
A5: แบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย ผู้หญิง หรือกิจกรรมกลางคืน สามารถนำไปใช้ในการสื่อสาร “ความห่วงใย” เพื่อเสริมภาพลักษณ์บวก
Q6: YouTube ใช้ AI ช่วยสร้างคอนเทนต์แบบใดได้บ้าง?
A6: YouTube สามารถสร้างวิดีโอจากภาพนิ่ง แปลงภาพวาดเป็นภาพเคลื่อนไหว หรือสร้างเสียงและภาพผ่าน AI สำหรับ Shorts ได้อย่างสร้างสรรค์
Q7: การใช้ฟีเจอร์ AI ของ YouTube มีข้อควรระวังอะไร?
A7: คอนเทนต์ที่สร้างด้วย AI จะมีลายน้ำระบุชัดเจน เพื่อความโปร่งใส ซึ่งอาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือหากเนื้อหานั้นหลอกลวงหรือไม่สมจริง
Q8: ฟีเจอร์วิเคราะห์บน Threads ช่วยงาน PR อย่างไร?
A8: ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมผู้ติดตาม เช่น เวลาโพสต์ที่เหมาะสม เนื้อหาที่คนสนใจ และกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง ทำให้ปรับกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำ
Q9: กลยุทธ์ “รับ” ในบทความหมายถึงอะไร?
A9: หมายถึงการทำความเข้าใจและปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ เช่น ระบบ AI หรือการเปลี่ยนแปลงของอัลกอริธึม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ PR
Q10: ทำไม Emotional Connection ถึงสำคัญในกลยุทธ์ “รุก”?
A10: เพราะการสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงกับผู้ชมทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำและมีคุณค่าในใจลูกค้า ไม่ใช่แค่สร้าง Awareness แต่สร้าง Loyalty ด้วย
เขียนและเรียบเรียง

โดย สราวุธ บูรพาพัธ
สราวุธ เป็นที่ปรึกษาด้านการสื่อสารให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนหลายแห่ง มีประสบการณ์ด้านการสื่อสารในธุรกิจพลังงาน สินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจความงาม ธุรกิจบริการ และศูนย์การเรียนรู้ ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติกว่า 20 ปี มีความเชี่ยวชาญในการวางแผนการสื่อสารแบบองค์รวม เพื่อสนับสนุนแผนการตลาดหรือสร้างภาพลักษณ์ให้แก่องค์กร รวมทั้ง บริหารจัดการสื่อสารภาวะวิกฤต
จบการศึกษาระดับปริญญาโท และปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย