fbpx

สรุปใครชนะ? สงครามบุฟเฟต์สุกี้: ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา

ตลาดบุฟเฟต์สุกี้เมืองไทยไม่เคยร้อนแรงเท่านี้มาก่อน เมื่อสองแบรนด์ใหญ่แห่งวงการสุกี้ “MK Restaurant” และ “สุกี้ตี๋น้อย” เปิดศึกโปรโมชั่นระลอกใหญ่แบบไม่มีใครยอมใคร จุดเด่นของสงครามครั้งนี้คือไม่ได้แข่งกันแค่ที่ “ราคา” แต่ยังแข่งกันเรื่อง “ภาพลักษณ์แบรนด์ กลยุทธ์การสื่อสาร และความภักดีของลูกค้า”

สงครามบุฟเฟต์สุกี้

ฉากเปิดเกม: จากไวรัลถึงสงคราม

ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2568 ทั้งสองแบรนด์เปิดโปรพร้อมกันอย่างน่าสงสัย (และน่าสนใจ)

  • MK Restaurant เปิดตัวโปร “อิ่มไม่อั้น 299 บาท” ในบางสาขา เช่น Lotus และ Big C
  • สุกี้ตี๋น้อย ฉลองยอดผู้ติดตาม 1 ล้านใน Facebook พร้อมโปรโมชั่น “199 บาท ช่วงกลางวัน” ทุกสาขา

แค่เปิดโปรก็เป็นที่ฮือฮาในโลกโซเชียลแล้ว แต่สิ่งที่ตามมาและน่าสนใจกว่านั้นคือ “การจัดการการสื่อสาร และวิธีสร้างแบรนด์ผ่านโปรฯ นี้”

กลยุทธ์ PR และการสื่อสารของ MK vs สุกี้ตี๋น้อย

ประเด็นMK Restaurantสุกี้ตี๋น้อย
เป้าหมายโปรฯกระตุ้นลูกค้ากลุ่ม Mass พรีเมียม ให้ลองกินบุฟเฟต์คุณภาพสร้าง Engagement ขอบคุณแฟนคลับ และขยายฐานลูกค้าทำงาน/นักศึกษา
กลุ่มเป้าหมายครอบครัว, คนทำงานระดับกลาง-สูงคนทำงานระดับต้น-กลาง, นักศึกษา
ภาพลักษณ์แบรนด์พรีเมียม โปร่งใส เป็นมืออาชีพอบอุ่น เป็นกันเอง ใส่ใจสุขภาพ
ช่องทางสื่อสารFacebook, Line OA, สาขาในห้างFacebook, แฟนเพจ, โพสต์มีมีม/แคปชั่น
โทนเสียง (Tone & Voice)สุภาพ, ชัดเจน, เตือนลูกค้าหากคุณภาพบริการลดลงอารมณ์ดี, เป็นมิตร, ขอบคุณแฟนคลับ
mk restaurant

การจัดการวิกฤต: ป้องกันก่อนเกิด

MK ใช้กลยุทธ์ “บริหารความคาดหวัง” (Expectation Management) โดยโพสต์แจ้งลูกค้าล่วงหน้าว่า อาจเกิดความล่าช้า/ของหมดในช่วงโปรโมชั่น พร้อมบอกว่ามีการเพิ่มพนักงานและวัตถุดิบเพื่อรองรับ

ส่วนสุกี้ตี๋น้อย เลือกเลี่ยงความตึงเครียดด้วยการเล่าเรื่องราวผ่านการ “ฉลอง 1 ล้านผู้ติดตาม” และเน้นความใกล้ชิดแฟนคลับแบบไม่เป็นทางการ

นี่คือการ “จัดการวิกฤตแบบเชิงรุก” ที่แตกต่าง แต่มีเป้าหมายเดียวกัน คือ “ลดแรงเสียดทานจากลูกค้า”

สุกี้ตี๋น้อย

กลยุทธ์ Content & Engagement: ไม่ใช่แค่โฆษณา

MK ลงโพสต์แบบ “ชี้แจงชัดเจน” ด้วยภาพถ่ายเมนูจริง มีเงื่อนไขชัดเจน ขณะที่สุกี้ตี๋น้อยใช้มีม, แคปชั่น และอินไซต์ทางอารมณ์เช่น “เอาใจคนทำงาน อยากกินของอร่อยแต่ประหยัด” พร้อมแนบ CSR เบา ๆ ว่าหากลูกค้านำไข่ cage-free มา จะได้รับน้ำจิ้มพอนสึฟรี

นี่คือการแสดงจุดยืน “คุณภาพ vs ความสัมพันธ์” ที่ตีความได้ว่า:

  • MK เน้นความมั่นคง โปร่งใส และพรีเมียม
  • ตี๋น้อยเน้นความรักใคร่ ผูกพัน และมีหัวใจที่ “จริงใจ”
MK Restaurantสุกี้ตี๋น้อย
MK: ใช้โปรในบางสาขา + เวลากว้างตี๋น้อย: ใช้ทุกสาขา + จำกัดช่วงกลางวัน
ทั้งสองแบรนด์ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทั้งระดับบน กลาง และล่าง
ใช้ทั้งกลยุทธ์ราคา, Emotional Marketing, และ PR เชิงระบบ

ผลกระทบต่อแบรนด์

ด้านยอดขาย (Sales):

แม้ไม่มีข้อมูลตัวเลข แต่โซเชียลและภาพถ่ายในแต่ละสาขาชี้ชัดว่า ยอดผู้เข้าใช้บริการพุ่งสูงทั้งสองแบรนด์

ด้านภาพลักษณ์:

  • MK เสริมภาพแบรนด์มืออาชีพ
  • ตี๋น้อยได้ภาพแบรนด์ “เข้าถึงง่าย” มากขึ้น

ด้าน Engagement:

สุกี้ตี๋น้อยมี Engagement มากกว่าหลายเท่าบนโซเชียล มี UGC เกิดขึ้นหลายโพสต์ ขณะที่ MK มีการพูดถึงเชิงรีวิวและเปรียบเทียบมากกว่า

บทเรียนสำหรับนัก PR และการตลาด

  1. แคมเปญราคาไม่ใช่แค่ส่วนลด แต่คือการเล่าเรื่อง (Storytelling)
  2. โทนเสียงมีผลต่อความรู้สึกของลูกค้า มากกว่าคำโปรโมชัน
  3. โปรเจกต์ CSR แทรกเล็ก ๆ สร้างภาพลักษณ์แบรนด์แบบยั่งยืน
  4. ความพร้อมในการรับมือ Feedback สำคัญพอ ๆ กับการโปรโมต
  5. ข้อมูลในโพสต์ต้องชัดเจน โปร่งใส ไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด

สรุป: ใครชนะ?

หากวัดด้วย “ยอดขาย” อาจบอกไม่ได้ แต่ถ้าวัดด้วย “การสร้างภาพลักษณ์แบรนด์และ Engagement ที่ยั่งยืน”

สุกี้ตี๋น้อย แสดงให้เห็นว่าแบรนด์เล็กก็สามารถท้าชนได้ หากเข้าใจ “พลังของการสื่อสาร”

ขณะเดียวกัน MK ยังคงเป็นแบรนด์ที่ได้รับความเชื่อถือ และยืนหยัดด้วยระบบที่แข็งแกร่ง


FAQS: สรุปใครชนะ? สงครามบุฟเฟต์สุกี้: ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา

Q1: สงครามราคาบุฟเฟต์ระหว่าง MK และสุกี้ตี๋น้อย เริ่มจากอะไร?

A1: เริ่มจากการที่ทั้งสองแบรนด์เปิดตัวโปรโมชั่นในช่วงเวลาเดียวกันคือ มิ.ย. 2568 โดย MK เสนอโปรบุฟเฟต์ 299 บาทในบางสาขา ขณะที่สุกี้ตี๋น้อยลดเหลือ 199 บาท ทุกสาขาช่วงกลางวัน ทำให้เกิดความสนใจและเปรียบเทียบบนโซเชียล

Q2: จุดแตกต่างของโปรโมชั่นระหว่างทั้งสองแบรนด์คืออะไร?

A2: MK เน้นโปรบุฟเฟต์พรีเมียมในบางสาขาและช่วงเวลาทั่วไป ส่วนสุกี้ตี๋น้อยใช้กลยุทธ์ช่วงเวลากลางวัน และทำราคาให้เข้าถึงง่ายกว่าทุกสาขา

Q3: กลุ่มเป้าหมายของแต่ละแบรนด์คือใคร?

A3: MK เจาะกลุ่มครอบครัว-คนทำงานระดับกลางถึงสูง สุกี้ตี๋น้อยมุ่งกลุ่มคนทำงานทั่วไป-นักศึกษา โดยเฉพาะกลุ่มที่ใส่ใจความคุ้มค่า

Q4: การสื่อสารของ MK กับสุกี้ตี๋น้อยแตกต่างกันอย่างไร?

A4: MK ใช้ Tone สุภาพ-โปร่งใส พร้อมแถลงเตือนล่วงหน้าเกี่ยวกับบริการ สุกี้ตี๋น้อยใช้โทนอบอุ่น-สนุกสนาน พร้อมขอบคุณแฟนคลับและใส่กลิ่นอาย Community

Q5: กลยุทธ์ PR ที่ใช้คืออะไร?

A5: MK ใช้กลยุทธ์บริหารความคาดหวัง (Expectation Management) ส่วนตี๋น้อยใช้การสื่อสารแบบ Emotional Engagement ผ่านแคมเปญแฟนคลับ

Q6: ผลลัพธ์ด้านยอดขายและแบรนด์แตกต่างกันอย่างไร?

A6: MK ได้ยอดขายเชิง Mass พร้อมภาพแบรนด์มืออาชีพ ส่วนตี๋น้อยได้ Engagement สูง และภาพแบรนด์ที่เข้าถึงง่าย มีความเป็นกันเอง

Q7: การจัดการวิกฤตของทั้งสองเป็นอย่างไร?

A7: MK เตรียมทีมและชี้แจงเงื่อนไขล่วงหน้า ขณะที่ตี๋น้อยใช้การสื่อสารเชิงบวก ลดโอกาสเกิดความคาดหวังผิด

Q8: ข้อดีและข้อควรระวังของกลยุทธ์โปรโมชั่นคืออะไร?

A8: ข้อดีคือการสร้างกระแสและเพิ่มลูกค้าใหม่ ข้อควรระวังคือคุณภาพบริการที่อาจลดลง และความเข้าใจผิดเรื่องราคา

Q9: นักประชาสัมพันธ์ควรเรียนรู้อะไรจากกรณีนี้?

A9: ต้องจัดการโทนเสียงให้ตรงแบรนด์, วางแผนสื่อสารวิกฤต, ใช้กลยุทธ์ Emotional-Functional พร้อมกัน และบริหารคาดหวังของลูกค้าอย่างโปร่งใส

Q10: สุดท้าย ใครคือผู้ชนะในศึกนี้?

A10: ไม่มีผู้ชนะชัดเจนทางยอดขาย แต่สุกี้ตี๋น้อยโดดเด่นในเรื่อง Engagement และ MK สร้างภาพแบรนด์มั่นคงยิ่งขึ้น ถือว่าทั้งคู่ชนะในแบบของตัวเอง

เรียบเรียงโดย

sarawut burapapat

สราวุธ บูรพาพัธ

สราวุ​ธ เป็นที่ปรึกษาด้านการสื่อสารให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนหลายแห่ง มีประสบการณ์ด้านการสื่อสารในธุรกิจพลังงาน สินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจความงาม ธุรกิจบริการ และศูนย์การเรียนรู้ ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติกว่า 20 ปี มีความเชี่ยวชาญในการวางแผนการสื่อสารแบบองค์รวม เพื่อสนับสนุนแผนการตลาดหรือสร้างภาพลักษณ์ให้แก่องค์กร รวมทั้ง บริหารจัดการสื่อสารภาวะวิกฤต

จบการศึกษาระดับปริญญาโท และปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *