ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) สามารถสร้างภาพ สร้างวิดีโอ วิเคราะห์ข้อมูล และสร้างคอนเทนต์ได้ด้วยตัวเองภายในไม่กี่วินาที คำถามคลาสสิกที่ฉายชัดมากขึ้นทุกวันคือ
“เอเจนซี่ยังจำเป็นไหม?”
เมื่อทุกคนสามารถเป็น ‘สื่อ’ ได้ และทุกแบรนด์สามารถเข้าถึงเครื่องมือสร้างสรรค์ได้เท่าเทียมกัน คำตอบไม่ได้อยู่ที่ว่าใครมีไอเดียหรือเทคโนโลยีมากกว่า แต่ อยู่ที่การใช้ ‘กึ๋น’ และ ‘ใจ’ ในการสร้างความเชื่อมโยงกับผู้บริโภคและลูกค้าอย่างลึกซึ้ง
วันนี้ จะมาวิเคราะห์บทบาทของ เอเจนซี่ ในยุคดิจิทัล พร้อมถอดรหัสความสำเร็จของ The Secret Farm เอเจนซี่ไทยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานกว่า 10 ปี พร้อมคำตอบที่ทำให้ทุกแบรนด์ต้องฉุกคิด

บทบาทของเอเจนซี่ในยุคที่ “ทุกคนเป็นสื่อได้”
เมื่อ AI และเครื่องมือสร้างคอนเทนต์กลายเป็นเรื่องธรรมดา การทำงานโฆษณาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ทีมงานเอเจนซี่อีกต่อไป อินฟลูเอนเซอร์ ผู้สร้างคอนเทนต์อิสระ และเทคโนโลยีดิจิทัลทำให้ใครๆ ก็สามารถผลิตงานคุณภาพสูงได้
ดังนั้นคำถามของนักการตลาดและประชาสัมพันธ์จึงไม่ใช่
“ใครทำครีเอทีฟได้สวยกว่า?”
แต่เป็น:
“ใครเข้าใจ ‘ปัญหาทางธุรกิจ’ และเชื่อมเป้าหมายสู่ผลลัพธ์เชิงธุรกิจได้ดีที่สุด?”
สิ่งนี้คือบริบทที่ทำให้บทบาทของ เอเจนซี่ เปลี่ยนจากผู้รับงาน ไปสู่ เพื่อนคู่คิดเชิงกลยุทธ์ ที่ต้องคิดนำลูกค้า 2-3 ก้าวเสมอ
The Secret Farm: จากเอเจนซี่สร้างงาน สู่ ‘ที่ปรึกษา’ เชิงกลยุทธ์
บริษัท The Secret Farm ก่อตั้งมาแล้วกว่า 10 ปี — กรอบเวลาที่ยาวพอจะสะท้อนการเติบโตและการต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงของวงการดิจิทัลเอเจนซี่ ซึ่งทีมผู้บริหารทั้ง 3 ท่าน ได้แก่
- คุณโอ๊ค – ผู้ก่อตั้ง
- คุณหญิง – Head of Client Management
- คุณโถ – Head of Media
ได้ให้มุมมองสำคัญว่า
“สิ่งที่ลูกค้าต้องการจากเอเจนซี่ในวันนี้ คือ ความเข้าใจลึกซึ้ง, การเป็นเพื่อนคู่คิด, และ สามารถคาดการณ์อนาคตได้แม่นยำ”
ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ AI หรือเครื่องมือใดๆ จะทดแทนได้โดยง่าย
3 กุญแจสำคัญที่ทำให้ The Secret Farm คิดนำลูกค้าเสมอ
1. โมเดลการทำงาน “ไร้กรอบ”: เร็ว ยืดหยุ่น และครบวงจร
สิ่งที่ทำให้ The Secret Farm แตกต่างตั้งแต่แรกคือการทลายข้อจำกัดของงานแบบดั้งเดิม
- ไม่แยก “งานคิด” ออกจาก “งานผลิต”
- ทำงาน Creative + Strategy + Production ได้ในทีเดียว
- ตอบโจทย์ความเร่งด่วนของโลกโซเชียลที่ขยับรวดเร็ว
- เสนอพร้อมแก้ปัญหาเชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่สร้างสรรค์ผลงาน
เทียบกับเอเจนซี่แบบเดิมที่ต้องผ่านหลายแผนกและการอนุมัติชั้นซ้อน งานที่ The Secret Farm ทำได้คือ
“เร็วกว่า แม่นกว่า จบในตัว”
ซึ่งช่วยให้แบรนด์ใหญ่ เช่น Nestlé ไอศกรีม ไว้วางใจให้ทำแคมเปญดิจิทัลตั้งแต่ปีแรก
2. การเรียนรู้และทดลองอย่างไม่หยุดนิ่ง
โลกดิจิทัลหมุนเร็วมาก
- พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนจาก Second Screen มาสู่ Mobile First
- เทรนด์โซเชียลเกิดแล้วหายไปภายในชั่วโมง
- Mainstream ถูกแทนที่ด้วย Micro-trend
The Secret Farm ไม่ได้ทำงานโดยอาศัย ‘ความรู้เดิม’ แต่ใช้ Social Listening, Social Monitoring tools และข้อมูลเชิงลึก (Insight/Data) เพื่อ
- วิเคราะห์ Sentiment ของกลุ่มเป้าหมาย
- ออกแบบแคมเปญที่ตอบโจทย์เฉพาะกลุ่ม
- พัฒนาแนวคิดจาก Data มากกว่าแค่ไอเดียจับฉ่าย
ตัวอย่างเช่น แคมเปญ “รักใช่เล่น” กับ สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น — ซึ่งไม่ใช่แค่โฆษณา แต่เป็น Music Marketing Campaign ที่ให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมในการสร้างเพลงของแบรนด์เอง ซึ่งไม่เพียงดึงดูดความสนใจ แต่สร้าง Brand Loyalty & Brand Love ได้จริง
แคมเปญดังกล่าวยังได้รับรางวัลจาก Thailand Influencer Award 2025 อีกด้วย
3. Sandbox Project: ห้องทดลองแห่งนวัตกรรม
The Secret Farm ไม่ได้รอโจทย์จากลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่สร้าง “Sandbox Project” เพื่อทดลองแนวคิดใหม่ๆ อย่างอิสระก่อนนำมาใช้จริง เช่น
- TypeThai และ meBoon.co คอนเทนต์ที่มีประโยชน์ต่อสังคม
- Open World KOLs Project ฐานข้อมูลและการจัดการอินฟลูเอนเซอร์ พร้อมต่อยอดเป็น The Eggsplore
กลยุทธ์นี้ช่วยให้ทีม
- คิดนอกกรอบ
- ทดลองกับแนวคิดที่ยังไม่มีใครทำ
- สร้างผลงานต้นแบบก่อนนำเสนอแก่ลูกค้าจริง
ผลลัพธ์?
ผลงานที่ไม่ใช่แค่ ‘ตามเทรนด์’ แต่เป็น ‘ผู้นำเทรนด์’

เอเจนซี่ = มากกว่าเครื่องมือ AI
การมี AI ไม่ได้หมายความว่าแบรนด์จะไม่ต้องใช้เอเจนซี่อีกต่อไป เพราะ AI เป็น
- ตัวช่วย
- เครื่องมือ
- ตัวเร่งประสิทธิภาพ
แต่สิ่งที่ AI ทำแทนมนุษย์ไม่ได้ คือ:
- ความเข้าใจลึกซึ้งในบริบทการตลาด
- ความสามารถเชื่อมโยง Insight เข้ากับกลยุทธ์ธุรกิจ
- การวางแผนล่วงหน้าและสื่อสารเชิงรุก
- ความสามารถในการบริหารความสัมพันธ์ (Human Touch)
ดังนั้นบทบาทของเอเจนซี่ยุคนี้จึงเปลี่ยนไปเป็น
“เอเจนซี่ที่เป็น Partner เชิงกลยุทธ์ มากกว่าแค่ผู้ผลิตคอนเทนต์”
หน้าที่ของเอเจนซี่ยุคใหม่
The Secret Farm ได้สรุปคุณสมบัติที่เป็นหัวใจของเอเจนซี่ยุคใหม่ไว้เป็น 3 ข้อ
1. Think Ahead
– ต้องคิดนำลูกค้าล่วงหน้า 2–3 ก้าว
– ถ้าเอเจนซี่คิดเท่าลูกค้า ลูกค้าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่กับเอเจนซี่
2. Partnership & Deep Engagement
– ไม่ใช่แค่รับงานแล้วส่งงานจบ
– แต่ต้องเข้าไปอยู่ใน KPI ของลูกค้า
– ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเหมือน “ทีมเดียวกัน”
3. Expertise + Friendly
– เชี่ยวชาญทุกอุตสาหกรรม
– คุยง่าย เข้าใจง่าย
– พร้อมให้คำแนะนำที่ตอบโจทย์ได้จริง
สรุป: เอเจนซี่ยังจำเป็นไหม?
คำตอบคือ:
ใช่ เอเจนซี่ยังคงจำเป็น แต่ในรูปแบบที่ “มากกว่าเอเจนซี่”
ไม่ใช่แค่ผู้สร้างงาน
แต่เป็น เพื่อนคู่คิดเชิงกลยุทธ์
เป็น ผู้แก้ปัญหาเชิงธุรกิจ
และเป็น พันธมิตรที่พร้อมเดินไปด้วยกัน
เอเจนซี่ยังคงมีบทบาทสำคัญในยุค AI
เพราะสิ่งที่แบรนด์ต้องการ ไม่ใช่แค่ “ผลงานสวย”
แต่คือ ผลงานที่สร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจจริง
FAQs : เอเจนซี่ยังจำเป็นไหม? ถอดรหัสลับ สร้าง “มูลค่า” ที่ AI ทำแทนไม่ได้
Q1: เอเจนซี่ยังจำเป็นอยู่หรือไม่ในยุคที่ AI ทำงานแทนได้มากมาย?
A1: จำเป็นอยู่ เพราะ AI ทำงานได้เพียงในระดับเครื่องมือ แต่เอเจนซี่มีบทบาทในฐานะผู้เชื่อมโยงกลยุทธ์ ความเข้าใจลูกค้า และบริบทธุรกิจในระดับที่ลึกซึ้ง ซึ่ง AI ยังไม่สามารถทดแทนได้
Q2: ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ The Secret Farm อยู่รอดและเติบโตในยุค AI คืออะไร?
A2: ความสามารถในการคิดนำลูกค้า การวางแผนกลยุทธ์ครบวงจร การใช้ Data เพื่อสร้างแนวทางใหม่ และการพัฒนาโมเดลทำงานไร้กรอบที่รวดเร็วและยืดหยุ่น
Q3: The Secret Farm แตกต่างจากเอเจนซี่ทั่วไปอย่างไร?
A3: ทำงานแบบครบวงจรในทีมเดียว ไม่แยก “คิด” กับ “ผลิต” เข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง เป็น Friendly Agency ที่พร้อมเป็นทั้งเพื่อนคู่คิดและที่ปรึกษาทางธุรกิจ
Q4: จุดเด่นของโมเดล “ไร้กรอบ” ที่ The Secret Farm ใช้คืออะไร?
A4: คือการบูรณาการงานครีเอทีฟ กลยุทธ์ และโปรดักชันเข้าด้วยกันในทีมเดียว ทำให้ทำงานรวดเร็ว ตอบสนองกระแสได้ทัน และจบในตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งซัพพลายเออร์ภายนอก
Q5: แคมเปญ “รักใช่เล่น” ที่ทำให้กับคูโบต้าประสบความสำเร็จเพราะอะไร?
A5: เพราะเข้าใจ Insight กลุ่มเป้าหมาย ใช้กลยุทธ์ Music Marketing ให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับแบรนด์จริงๆ จนสร้าง Brand Love และได้รับรางวัลจากเวทีระดับประเทศ
Q6: The Secret Farm ใช้ Data อย่างไรในการสร้างสรรค์งาน?
A6: ใช้ Social Listening และ Monitoring Tools วิเคราะห์ Sentiment และ Insight ของกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม เพื่อออกแบบ Solutions ที่ตรงความต้องการอย่างแท้จริง
Q7: Sandbox Project ของ The Secret Farm มีประโยชน์อย่างไร?
A7: เป็นห้องทดลองสร้างสรรค์ที่ช่วยให้ทีมพัฒนาไอเดียใหม่ๆ ได้อย่างอิสระ โดยไม่รอคำสั่งจากลูกค้า ช่วยเร่งนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ของทีมให้ทันโลก
Q8: ความสามารถพิเศษของเอเจนซี่ที่ AI ยังไม่สามารถทดแทนได้คืออะไร?
A8: ความเข้าใจบริบทธุรกิจ วัฒนธรรม Insight ของผู้บริโภค ความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า และการปรับตัวเชิงกลยุทธ์แบบมนุษย์ ซึ่ง AI ยังไม่มีศักยภาพเพียงพอในด้านนี้
Q9: ทำไมการเป็น “เพื่อนคู่คิด” จึงสำคัญต่อแบรนด์?
A9: เพราะแบรนด์ต้องการพาร์ตเนอร์ที่เข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้ง พร้อมแก้ไขและเดินไปด้วยกัน ไม่ใช่แค่รับบรีฟและส่งงาน แต่เป็นทีมเดียวกันกับแบรนด์
Q10: แนวทางของเอเจนซี่ยุคใหม่ที่แบรนด์ควรมองหาคืออะไร?
A10: เอเจนซี่ที่ Think Ahead, เข้าใจธุรกิจลึกซึ้ง, ใช้ Data ได้จริง, พร้อมลงมือทำอย่างยืดหยุ่น และสามารถเป็นที่ปรึกษาที่ Friendly ได้ในทุกสถานการณ์
