มีไม่กี่แห่งในกรุงเทพฯ ที่จะเปลี่ยนภาพจำของ “ศูนย์ราชการ” ได้เท่ากับศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ สถานที่ที่เคยเต็มไปด้วยคอนกรีต อาคารสูง และการจราจรหนาแน่น บัดนี้ได้เริ่มต้นบทใหม่ที่สะท้อนความหวังของ “เมืองคาร์บอนต่ำที่ทำงานร่วมกับธรรมชาติ” อย่างเต็มรูปแบบ
การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่ใช่เพียงโครงการก่อสร้างทั่วไป แต่เป็นวิสัยทัศน์ระดับชาติที่เกิดจากความตั้งใจของ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด หรือ ธพส. ผู้มีเป้าหมายชัดเจนว่า ศูนย์ราชการฯ แห่งนี้จะไม่ใช่แค่พื้นที่ราชการอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นต้นแบบของ “ศูนย์ราชการแห่งศตวรรษที่ 21” ที่เข้าใจทั้งธรรมชาติ และชีวิตคนเมืองอย่างลึกซึ้ง

ภายใต้แนวคิด “A Low-Carbon City Working with Nature” ธพส. เริ่มต้นการพลิกโฉมครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี โดยไม่ได้เพียงปรับปรุงตัวอาคาร หากแต่ตั้งใจเปลี่ยน “ระบบการทำงานของเมือง” ทั้งระบบ พื้นที่กว่า 378 ไร่ของศูนย์ราชการฯ ที่มีผู้คนกว่า 40,000 คนเข้าใช้งานในแต่ละวัน ได้รับการออกแบบใหม่ให้เป็นระบบนิเวศที่หายใจได้ และเชื้อเชิญให้ผู้คนมีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติอีกครั้ง
หนึ่งในหัวใจของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือการลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และเปิดพื้นที่ให้คนเดินมากขึ้น โครงการ Skywalk ความยาวกว่า 205 เมตร ที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีชมพู ถูกสร้างขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง พร้อมกับเปิดให้บริการรถมินิบัสไฟฟ้า (EV Shuttle Bus) ที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและทำให้บรรยากาศการเดินทางภายในศูนย์ราชการฯ สดชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทางเดินภายในพื้นที่ยังได้รับการออกแบบให้ผสานกับเรือนยอดไม้ในแนวคิด Canopy Corridor Network ที่เปลี่ยนสภาพแวดล้อมของสำนักงานให้กลายเป็นเหมือนสวนเมือง ที่คนและธรรมชาติสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน


ไม่เพียงเท่านั้น ธพส. ยังได้เนรมิตพื้นที่สีเทาอย่างดาดฟ้าของอาคารจอดรถ A ขนาด 8,000 ตารางเมตร ให้กลายเป็น “สวนลอยฟ้า A-D” ลานกิจกรรมกลางแจ้งที่เปิดให้ทุกคนเข้าถึงได้โดยง่าย อาคารจอดรถเก่าถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นฟองน้ำยักษ์ หรือ Sponge Parking ซึ่งสามารถดูดซับและนำกลับมาใช้น้ำฝนได้แบบไม่ปล่อยทิ้งเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ บ่อน้ำเดิมในพื้นที่กว่า 14 ไร่ยังได้รับการฟื้นฟูเป็น B-Park อุทยานลอยน้ำที่ปลูกพันธุ์ไม้พื้นถิ่น ช่วยลดอุณหภูมิของพื้นที่โดยรอบลงได้ถึง 9 องศาเซลเซียส นี่คือหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า “การออกแบบเชิงระบบนิเวศ” ไม่ได้เป็นเพียงคำหรูในเอกสารแผนแม่บท แต่สามารถเป็นจริงได้อย่างเป็นรูปธรรมในกลางกรุงเทพมหานคร
อีกแง่มุมที่น่าทึ่งไม่แพ้กัน คือการสร้างเส้นทางที่เชื่อมโยงความหลากหลายทางชีวภาพเข้ากับชีวิตประจำวัน พื้นที่กว่า 138 ไร่ ที่เชื่อมต่อถนนสายหลักและสายรอง ได้รับการปลูกต้นไม้พื้นถิ่นมากกว่า 5,500 ต้น พร้อมใช้ระบบจัดการน้ำตามธรรมชาติ เช่น ร่องน้ำ (Bioswale) และสวนน้ำฝน (Rain Garden) ที่ไม่เพียงช่วยลดปัญหาน้ำท่วม แต่ยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนก ผีเสื้อ และแมลงผสมเกสร แนวทางนี้สอดคล้องกับรายงานของ World Economic Forum ในปี 2024 ที่ระบุว่า “Nature-positive cities” เป็นองค์ประกอบสำคัญในการลดผลกระทบจากความร้อนและเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนเมืองในระยะยาว

นอกจากการปรับเปลี่ยนทางกายภาพ ธพส. ยังตั้งเป้าหมายสูงกว่านั้น ด้วยการพลิกบทบาทของศูนย์ราชการฯ จากผู้บริโภคพลังงานไปสู่ผู้ผลิตพลังงานสะอาด โดยเริ่มติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ตั้งแต่ปี 2559 ขยายครอบคลุมถึง 10 อาคาร รวมกำลังผลิตกว่า 4,712 กิโลวัตต์ สามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึง 3.9 ล้านหน่วยต่อปี ช่วยลดค่าไฟฟ้าได้มากกว่า 16 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานแบบผสมผสานทั้งแบตเตอรี่และไฮโดรเจน เพื่อนำพลังงานแสงอาทิตย์ที่เก็บไว้มาใช้ในเวลากลางคืน ส่งผลให้อาคารธนพิพัฒน์กลายเป็นต้นแบบอาคาร Net Zero Energy แห่งแรกของศูนย์ฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากลในปี 2566
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่โครงการก่อสร้าง แต่เป็นการพิสูจน์ว่า “เมืองคาร์บอนต่ำ” ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากภาคเอกชนเสมอไป หากแต่สามารถเริ่มต้นจากหน่วยงานภาครัฐที่มีวิสัยทัศน์ชัดเจน พร้อมจะเปลี่ยนวิธีคิดในการพัฒนาเมืองอย่างแท้จริง ดังคำกล่าวของ ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการผู้จัดการ ธพส. ที่สรุปไว้อย่างงดงามว่า “สิ่งที่ ธพส. ทำไม่ใช่แค่ปลูกต้นไม้เพิ่ม แต่คือการปลูกอนาคตให้กับประเทศไทย”



ณ วันนี้ โครงการพัฒนาพื้นที่สีเขียวของศูนย์ราชการฯ คืบหน้าไปแล้วกว่า 89% และเมื่อแล้วเสร็จ จะทำให้พื้นที่สีเขียวในศูนย์ฯ เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าตัว จากเดิมเพียง 36 ไร่ เป็นกว่า 138 ไร่ พร้อมกับการใช้วัสดุซึมน้ำแทนพื้นคอนกรีตทั่วไป ที่ช่วยลดความร้อนและเพิ่มการดูดซึมน้ำฝนอย่างมีประสิทธิภาพ
ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะจึงไม่ใช่แค่ที่ทำงานของหน่วยราชการอีกต่อไป แต่เป็นพื้นที่ชีวิตสำหรับคนเมืองยุคใหม่ พื้นที่แห่งแรงบันดาลใจของนักออกแบบ และต้นแบบของเมืองไทยที่อยากหายใจได้อีกครั้ง



FAQs: เมื่อศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะกลายเป็นแบบจำลองแห่งอนาคตของชีวิตคนเมือง
Q1: อะไรคือแนวคิดหลักที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนาศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะในครั้งนี้?
A1: แนวคิดหลักคือ “เมืองคาร์บอนต่ำที่ทำงานร่วมกับธรรมชาติ” (A Low-Carbon City Working with Nature) โดยเน้นการพัฒนาระบบนิเวศเมืองที่ลดการปล่อยคาร์บอน เพิ่มพื้นที่สีเขียว และสร้างความสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อมกับการใช้งานราชการ
Q2: โครงการนี้แตกต่างจากการปรับปรุงอาคารทั่วไปอย่างไร?
A2: แทนที่จะมุ่งเน้นแค่การปรับปรุงโครงสร้างอาคาร โครงการนี้เน้นการเปลี่ยนระบบคิดในการออกแบบเมืองทั้งระบบ เช่น พื้นที่จราจรถูกแทนที่ด้วยพื้นที่เดินเท้า และสร้างโครงข่ายธรรมชาติเชื่อมโยงในพื้นที่ราชการ
Q3: มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอะไรที่เด่นชัดที่สุดในพื้นที่นี้?
A3: หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงเด่นคือการสร้าง Skywalk เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีชมพู และการให้บริการรถมินิบัสไฟฟ้า รวมถึงการออกแบบพื้นที่ด้วยแนวคิด Canopy Corridor ที่เอื้อต่อการเดินและสอดคล้องกับธรรมชาติ
Q4: การฟื้นฟูพื้นที่สีเทาให้กลายเป็นพื้นที่สีเขียวทำได้อย่างไร?
A4: มีการเปลี่ยนหลังคาอาคารจอดรถ A ให้เป็นสวนลอยฟ้า และพัฒนาอาคารจอดรถให้เป็น Sponge Parking ที่สามารถกักเก็บน้ำฝน รวมถึงปรับบ่อน้ำเดิมเป็นอุทยานลอยน้ำ B-Park ที่ช่วยลดอุณหภูมิรอบพื้นที่ได้ถึง 9 องศาเซลเซียส
Q5: ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ศูนย์ราชการฯ เพิ่มขึ้นอย่างไร?
A5: มีการปลูกไม้พื้นถิ่นกว่า 5,500 ต้น และสร้างระบบร่องน้ำธรรมชาติ เช่น Bioswale และ Rain Garden ทำให้พื้นที่กลายเป็นที่อยู่อาศัยของนก ผีเสื้อ และแมลงผสมเกสร เพิ่มมิติของระบบนิเวศในเขตเมืองอย่างเป็นรูปธรรม
Q6: ในแง่พลังงาน โครงการนี้มีการบริหารจัดการอย่างไร?
A6: ศูนย์ราชการฯ ติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์บน 10 อาคาร กำลังผลิตรวม 4,712 กิโลวัตต์ และพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานทั้งแบบแบตเตอรี่และไฮโดรเจน เพื่อเปลี่ยนเป็นอาคารที่ผลิตพลังงานสะอาดได้ด้วยตนเอง
Q7: อาคารธนพิพัฒน์มีบทบาทอย่างไรในโครงการนี้?
A7: อาคารธนพิพัฒน์ถือเป็นต้นแบบของ Net Zero Energy Building แห่งแรกของศูนย์ราชการฯ โดยได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากลทั้ง DGNB Platinum และ EDGE Advanced ในปี 2566
Q8: โครงการนี้สามารถขยายผลไปยังพื้นที่อื่นของประเทศได้หรือไม่?
A8: ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากโครงการนี้ได้รับการออกแบบให้เป็นต้นแบบของศูนย์ราชการแห่งศตวรรษที่ 21 ที่สามารถปรับใช้กับพื้นที่ราชการอื่น ๆ ทั่วประเทศ และเป็นพิมพ์เขียวของเมือง Net Zero
Q9: โครงการนี้ตอบโจทย์คนเมืองยุคใหม่อย่างไร?
A9: โครงการออกแบบให้มีพื้นที่สีเขียว เดินทางสะดวก หายใจได้สบาย ลดมลพิษ และให้ความรู้สึกเป็นเจ้าของพื้นที่ เป็นการออกแบบเพื่อชีวิตคนเมืองจริง ๆ ไม่ใช่เพียงเพื่อการทำงานเท่านั้น
Q10: วิสัยทัศน์ของ ธพส. ต่อการพัฒนาเมืองในอนาคตคืออะไร?
A10: ธพส. ตั้งเป้าเป็นผู้นำการออกแบบเมืองที่ไม่แค่พัฒนาอาคาร แต่พัฒนา “ระบบนิเวศของสังคม” เพื่อให้ภาครัฐอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ลดทอนความสามารถในการให้บริการประชาชน
