fbpx

โลกไม่เหมือนเดิม! G4S เตือนองค์กรไทยรับมือ ‘ภัยไซเบอร์-ข้อมูลเท็จ’ ก่อนจะสาย

ปี 2025 ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านของภูมิทัศน์ความมั่นคงระดับโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียที่มีการขยับตัวทางเศรษฐกิจ – การเมือง – เทคโนโลยีควบคู่กันไป รายงาน “World Security Report 2025” ของ G4S ซึ่งเผยแพร่ล่าสุดจากสำนักงานภูมิภาคของบริษัทในประเทศไทย ได้ชี้ให้เห็นภาพรวมของ “ภัยคุกคาม ใหม่” และ “วิธีจัดการ” ที่องค์กร และหน่วยงานความมั่นคงต้องเตรียมพร้อม

g4s

1. ภูมิทัศน์ความมั่นคงในเอเชีย “สนามแข่งขันคู่ขนาน”

เอเชีย โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังอยู่ในสถานะที่เรียกว่า “สนามแข่งขันคู่ขนาน” ทั้งในมิติ เศรษฐกิจและความมั่นคง ด้านหนึ่งคือตลาด และโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวรวดเร็ว อีกด้านคือความเสี่ยงด้านการเมือง สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น

รายงานของ G4S ระบุว่า ข้อกังวลที่อยู่ในอันดับต้น ๆ สำหรับองค์กรในไทย ได้แก่ ภัยไซเบอร์ (cyber threats) การประท้วงทางสังคม (social unrest) และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน (supply‑chain disruption) ซึ่งสะท้อนว่า “ภัยแบบคลาสสิก” อย่างโจรกรรม หรือการก่อการร้ายเริ่มถูกเบนเข็มไปสู่ภัยที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

เพิ่มเติมจากที่สถาบันต่างประเทศรายงานว่า ภูมิภาคเอเชียกำลังเห็นการขยายตัวของการโจมตีไซเบอร์เชิงองค์กร โดยเฉพาะภัยคุกคามที่มุ่งเป้าไปยังโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น สายส่งไฟฟ้า โรงงาน และระบบโลจิสติกส์ ซึ่งถือเป็น “เป้าหมายยุคใหม่”  (source: Cybersecurity Ventures; Asia Pacific 2024)

การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยียังนำมาซึ่งความเปราะบางเชิงระบบ: เช่น IoT ที่เพิ่มขึ้น การพึ่งพา cloud เซิร์ฟเวอร์ และระบบ AI ที่ยังไม่มีมาตรการความมั่นคงเต็มรูปแบบ เหล่านี้คือพื้นฐานของ “ยุคใหม่ของความมั่นคง”

2. ภัยคุกคามที่เปลี่ยนรูปจาก “เห็นร่างจริง” เป็น “สัมผัสไม่ได้”

รายงาน World Security Report 2025 ของ G4S ได้แยกภัยคุกคามในหลายมิติ ดังนี้

  • ไซเบอร์ และดิจิทัล (threats in the digital domain): ความเสี่ยงจากการโจมตีแบบ ransomware และ phishing มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างมีนัยยะ โดยเฉพาะเมื่อระบบ remote working แพร่หลาย รายงานเสริมว่า ระบบ OT (Operational Technology) เช่น โรงไฟฟ้า หรือโรงงานอุตสาหกรรมกลายเป็นเป้าหมายใหม่ของผู้ไม่ประสงค์ดี
  • การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน (supply‑chain disruption): ตั้งแต่เหตุการณ์โลจิสติกส์ช่วงโควิด–19 ไปจนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศ หน่วยงานและบริษัทต่าง ๆ กำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่ระบบการค้าระหว่างประเทศจะถูกกระทบอย่างไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
  • ภูมิรัฐศาสตร์ และความไม่แน่นอน (geopolitical volatility): ความขัดแย้งทางทะเลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ทะเลจีนใต้ และท่ามกลางประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เกิดความเสี่ยงด้าน physical security (เช่น การขู่ คุกคาม) ควบคู่กับ cyber warfare ในระดับรัฐ
  • การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และภัยพิบัติ (climate and disaster risk): ภัยพิบัติ ทั้งธรรมชาติและที่มนุษย์สร้าง (เช่น อัคคีภัยจากคลื่นความร้อน heatwave) เริ่ม “ท้าทายกรอบ” ของการจัดการแบบเดิม และกลายเป็นจุดอ่อนของระบบ resilience ในภาคธุรกิจ
  • ความไม่สงบภายในสังคม (domestic social unrest): ในภาพรวมของเอเชีย และไทยโดยเฉพาะนั้น มีความกังวลเกี่ยวกับการประท้วง การแบ่งขั้วทางสังคม และการใช้โซเชียล มีเดียเพื่อชักชวนมวลชนอย่างรวดเร็ว  สิ่งเหล่านี้อาจพัฒนาเป็นเหตุการณ์ที่ก่อผลกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กรและการดำเนินธุรกิจได้

3. กลยุทธ์และการจัดการความเสี่ยงในยุค “ความไม่แน่นอนสูง”

รายงาน G4S ได้เน้นบทบาทของ “ความยืดหยุ่น” (resilience) และ “การประสาน” (coordinated response) เป็นสองแกนหลักในการรับมือภัยใหม่ ดังนี้

  • การประเมินความเสี่ยงแบบบูรณาการ (integrated risk assessment): องค์กรที่ดำเนินการประเมินทั้ง ภัยทาง physical, ไซเบอร์ และ สังคม ในภาพรวมเดียว จะมีโอกาสตอบสนองได้เร็วขึ้น รายงานชี้ให้เห็นว่า บริษัทเอกชนในไทยเพียงราว 38 % เท่านั้นที่มีแผนจัดการภัย cyber และ physical ร่วมกัน ซึ่งถือว่ายังต่ำเมื่อเทียบกับภูมิภาค
  • การฝึกซ้อมสถานการณ์จำลอง (scenario exercise) และการฟื้นตัวอย่างมีแผน (incident recovery plan): สถานการณ์จำลองที่ครอบคลุมทั้งภัยทางไซเบอร์ และภัยพิบัติ (เช่น แผ่นดินไหว หรือ คลื่น สึนามิ) ถูกแนะนำให้ใช้เป็นเครื่องมือหลัก ซึ่งช่วยให้องค์กรเตรียมทรัพยากร และสาย การสื่อสาร ให้พร้อมตอบสนองแบบ real‑time
  • การสร้างระบบเตือนภัยและ monitoring ที่ก้าวหน้า: รายงานเน้นย้ำถึงการใช้ AI และ machine learning เพื่อระบุ anomaly หรือ พฤติกรรมผิดปกติในระบบเครือข่ายองค์กร ซึ่งสามารถลดเวลา time‑to‑detect ลงได้อย่างมีนัยยะ
  • ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และเอกชน (public‑private partnership): ประเทศไทยและเอเชียโดยรวมยังคงมีช่องว่างในการประสานงานด้านความมั่นคงระหว่างภาครัฐ กับธุรกิจ โดยเฉพาะในด้าน information sharing และ threat intelligence ซึ่งถือว่าเป็น “องค์ประกอบสำคัญ” ในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันแบบระบบ

4. จุดเปลี่ยนสำคัญและข้อเสนอเชิงนโยบาย

จุดเปลี่ยนสำคัญที่รัฐ และภาคธุรกิจควรพิจารณา

  • เปลี่ยนจาก “ป้องกัน” เป็น “พร้อมปรับตัว” (from protection to adaptation): ในสภาวะที่ภัยคุกคามเปลี่ยนรูปเร็ว จึงไม่เพียงพอที่องค์กรจะตั้งระบบป้องกัน แต่จำเป็นต้องมีความไวในการปรับตัว เช่น เปลี่ยนกระบวนการดำเนินงานใช้ digital platforms แบบ hybrid หรือ เปิดช่องทาง response แบบ multichannel เมื่อเกิดเหตุ
  • ยกระดับ governance ความมั่นคงไซเบอร์ให้เป็น C‑suite agenda: ธุรกิจขนาดใหญ่ในไทยควรให้ CIO หรือ CISO รายงานตรงต่อ board และ executive management ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของ IT แผนกเดียว เพื่อให้ความเสี่ยงออนไลน์ และภัยทางกายภาพถูกมองเป็น enterprise‑risk เชิงกลยุทธ์
  • สร้างมาตรฐานร่วม (common standards) ในภูมิภาค: ข้อเสนอจากรายงานคือ การพัฒนา framework ความมั่นคงที่สามารถใช้ร่วมกันในอาเซียน เช่น มาตรฐานการแบ่งปันข้อมูลภัยคุกคาม (threat information sharing) หรือ มาตรฐานการจัดการเหตุการณ์ (incident management) ในธุรกรรม cross‑border
  • การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ และวัฒนธรรมความมั่นคง: แม้เทคโนโลยีจะสำคัญ แต่รายงานเน้นว่า “คน” และ “วัฒนธรรมองค์กร” คือปัจจัยตัดสิน การอบรม cyber hygiene การสร้าง security‑mindset ในพนักงาน และการวาง leadership ที่เข้าใจภัยคุกคามแบบใหม่มีความสำคัญมาก

สำหรับไทยเอง สถานการณ์ที่รายงานเห็นว่าเด่นชัดคือ ความเปราะบางของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่มักมีทรัพยากรจำกัดในด้าน IT และ security ซึ่งทำให้ขาดแคลนความพร้อมเมื่อเผชิญภัยไซเบอร์ หรือ supply‑chain disruption

แล้วอย่างไรต่อ

  • รัฐบาลควรผลักดันมาตรการสนับสนุน SME ในด้านความมั่นคงไซเบอร์ เช่น เครดิตภาษี หรือ grant สำหรับระบบ security basics
  • ธุรกิจไทยควรเริ่มจากการทำ risk assessment แบบง่ายและสร้างแผนตอบสนองเหตุการณ์ (incident response plan) แบบรู้ตัวและเห็นภาพ
  • ให้ความสำคัญกับการสร้าง ecosystem ความมั่นคงที่รวม ภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อให้มี talent และทรัพยากรรองรับสภาวะ VUCA (Volatile Uncertain Complex Ambiguous)

รายงาน World Security Report 2025 ของ G4S ชี้ให้เห็นว่า โลกไม่ใช่เพียงจะมีภัยคุกคามที่มากขึ้น แต่เป็นภัยที่ “แปลงกาย” (transformed) ไปสู่รูปแบบที่ยากจะมองเห็น และยากจะจัดการด้วยวิธีแบบเดิม การสร้างความมั่นคงจึงกลายเป็น “งานร่วม” ที่ต้องอาศัย เทคโนโลยี คน และ บริบท ทาง ภูมิรัฐศาสตร์ ควบคู่กัน

สำหรับประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย การเดินหน้าจะต้องอยู่บนฐานของ ความร่วมมือ ความยืดหยุ่น และความพร้อมรับมือ หากละเลยสิ่งเหล่านี้ โอกาสที่องค์กร และประเทศจะเป็นผู้ตามเกม (rather than shaping it) มีสูง


FAQs: โลกไม่เหมือนเดิม! G4S เตือนองค์กรไทยรับมือ ‘ภัยไซเบอร์-ข้อมูลเท็จ’ ก่อนจะสาย

Q1: รายงาน World Security Report 2025 ของ G4S มีจุดประสงค์อะไร?

A1: เพื่อนำเสนอแนวโน้มภัยคุกคามด้านความมั่นคงทั่วโลก โดยสำรวจมุมมองของหัวหน้าฝ่ายความมั่นคงจากองค์กรใน 31 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย เพื่อให้ธุรกิจเตรียมความพร้อมรับมืออย่างมีประสิทธิภาพ

Q2: ปัญหาหลักที่องค์กรในไทยกำลังเผชิญอยู่คืออะไร?

A2: 78% ขององค์กรในไทยตกเป็นเป้าหมายของข้อมูลบิดเบือนหรือข้อมูลเท็จ และ 60% เชื่อว่าผู้ไม่ประสงค์ดีได้รับแรงจูงใจจากข้อมูลลวงดังกล่าว ซึ่งเป็นสถิติสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก

Q3: ภัยคุกคามที่น่ากังวลมากที่สุดในปี 2025 คืออะไร?

A3: ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ การโจมตีไซเบอร์ ภัยพิบัติธรรมชาติ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และการรั่วไหลของข้อมูลจากภายในองค์กร

Q4: เหตุใดภัยไซเบอร์และข้อมูลเท็จจึงอันตรายต่อธุรกิจ?

A4: เพราะสามารถบ่อนทำลายความเชื่อมั่น ทำให้สูญเสียลูกค้าและพาร์ตเนอร์ เสียหายทางการเงิน และกระทบชื่อเสียงโดยไม่สามารถควบคุมได้ทัน

Q5: องค์กรไทยควรรับมือภัยความมั่นคงอย่างไร?

A5: ด้วยการประเมินความเสี่ยงแบบบูรณาการ ลงทุนในเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง ฝึกซ้อมสถานการณ์จำลอง และสร้างวัฒนธรรมความมั่นคงในองค์กร

Q6: การใช้ AI มีบทบาทอย่างไรในแผนรับมือภัยคุกคาม?

A6: AI ช่วยตรวจจับความผิดปกติ วิเคราะห์พฤติกรรม และแจ้งเตือนภัยแบบเรียลไทม์ ทำให้องค์กรสามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น

Q7: บุคลากรด้านความปลอดภัยมีความสำคัญแค่ไหน?

A7: สูงมาก เพราะ 97% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าพนักงานด่านหน้ายังเป็นแนวหน้าในการรักษาความปลอดภัย แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าแค่ไหนก็ตาม

Q8: ประเทศไทยมีความพร้อมมากน้อยเพียงใด?

A8: ยังมีช่องว่าง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและเล็ก ที่ขาดทั้งงบประมาณและบุคลากรด้านไซเบอร์ รวมถึงการประสานงานกับภาครัฐยังไม่เพียงพอ

Q9: ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มภัยใดเด่นเป็นพิเศษ?

A9: ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและภัยคุกคามที่มีแรงจูงใจทางการเงิน ซึ่งจะกระทบธุรกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงภัยจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น

Q10: G4S แนะนำแนวทางเชิงนโยบายอย่างไรบ้าง?

A10: เสนอให้รัฐ-เอกชนสร้างความร่วมมือมากขึ้น ยกระดับการกำกับดูแลไซเบอร์ สร้างมาตรฐานร่วมในภูมิภาค และลงทุนในคนและวัฒนธรรมความมั่นคงองค์กร


Author

  • PR Matter

    เบื้องหลังบทความคุณภาพทุกชิ้นบน พีอาร์แมทเทอร์ (PR Matter Editorial Team) คือ ทีมกองบรรณาธิการที่รวมตัวกันจากนักเขียน นักข่าว นักพีอาร์ และครีเอทีฟผู้มีประสบการณ์จริงในวงการสื่อสาร ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

    ด้วยความมุ่งมั่นในการ “อัปเดตองค์ความรู้ เชื่อมโยงกลยุทธ์ สร้างแรงบันดาลใจ” ให้กับนักสื่อสาร นักพีอาร์ นักการตลาด และผู้นำองค์กรทั่วประเทศ พวกเราจึงใส่ใจในทุกถ้อยคำ ตรวจสอบทุกข้อมูล และเขียนทุกบทความด้วยหัวใจของมืออาชีพ ความเชี่ยวชาญของทีม ครอบคลุมตั้งแต่การวิเคราะห์เทรนด์ การสื่อสารองค์กร การจัดการวิกฤต ไปจนถึงการเล่าเรื่องแบบเจาะลึก ทั้งเชิงกลยุทธ์และเชิงสร้างสรรค์

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *